การช่วยชีวิตในภาวะฉุกเฉินมีกฎเหล็กข้อแรกคือ ต้องเปิดทางเดินหายใจให้ได้ หากผู้ป่วยไม่สามารถหายใจเอง แพทย์หรือเจ้าหน้าที่กู้ชีพจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal Intubation) เพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดโดยตรง
แต่ปัญหาคือ…นี่เป็นหนึ่งในหัตถการที่ยากที่สุด แม้แต่แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงยังทำผิดพลาดได้ เพราะร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าไปในหลอดลมง่าย ๆ แถมยังมี epiglottis หรือฝาปิดหลอดลม ที่ทำหน้าที่กั้นไม่ให้อาหารหลงเข้าไปในทางเดินหายใจ ดังนั้นการใส่ท่อจึงต้องใช้ความแม่นยำสูง หากพลาดเลื่อนท่อเข้าหลอดอาหารแทน ปอดจะไม่ได้รับออกซิเจน และชีวิตผู้ป่วยจะตกอยู่ในความเสี่ยงทันที

ปัญหาของเครื่องมือเดิม
เครื่องมือดั้งเดิมคือ laryngoscope แบบโลหะแข็ง แพทย์ต้องใช้แรงยกฝาปิดหลอดลมขึ้น แล้วค่อยสอดท่อเข้าไป ซึ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและต้องใช้ทักษะสูง ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็น วิดีโอลาริงโกสโคป ที่ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและความชำนาญมากอยู่ดี
Soft Robotic เข้ามาเปลี่ยนเกม
ทีมนักวิจัยจาก UC Santa Barbara จึงพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า Soft Robotic Intubation System (SRIS) จุดเด่นคือใช้ท่อแบบนิ่มที่สามารถ“พองตัวและกลับด้านจากปลายด้านหน้า” คล้าย ๆ กับการที่ท่อยืดงอกออกไปเองตามเส้นทางธรรมชาติในลำคอ
- ไม่ต้องใช้แรงดันกดอวัยวะที่บอบบาง
- ลดการเสียดสีและการบาดเจ็บ
- ท่อโค้งเข้าสู่หลอดลมโดยอัตโนมัติ
หรือพูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยต้องดันท่อแข็งเข้าไป ตอนนี้กลายเป็นปล่อยให้ท่อมันงอกเข้าไปเอง
การทดลองกับหุ่นจำลองและร่างอาจารย์ใหญ่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้อย่างชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญสามารถทำการใส่ท่อช่วยหายใจได้สำเร็จทุกครั้งแบบ 100% เต็ม
ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ชีพอย่าง EMT และพารามิดิก ซึ่งไม่ได้เป็นแพทย์เฉพาะทาง ก็ยังทำได้สำเร็จถึง 96% หลังจากได้รับการฝึกเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ส่วนกลุ่มที่แทบไม่มีประสบการณ์เลย ก็ยังสามารถทำได้สำเร็จ 87% ตั้งแต่ความพยายามครั้งแรก ที่สำคัญคือเรื่องเวลา โดยใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 21 วินาที ในการใส่ท่อ เทียบกับเครื่องมือวิดีโอลาริงโกสโคปซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าถึง 44 วินาที
และเมื่ออยู่ในสถานการณ์จริง ความแตกต่างเพียงไม่กี่วินาทีอาจหมายถึงเส้นแบ่งระหว่างการรอดชีวิตหรือการสูญเสียได้เลย
ก้าวต่อไป Soft Robotic
แม้ผลลัพธ์จากการทดลองในหุ่นและร่างอาจารย์ใหญ่จะน่าประทับใจ แต่นักวิจัยย้ำว่าร่างอาจารย์ใหญ่ไม่สามารถบอกว่าเจ็บหรือไม่ ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบในผู้ป่วยจริงในสภาพแวดล้อมหลากหลาย เพื่อพิสูจน์ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย
หากสำเร็จ Soft Robotic Intubation System อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการจัดการทางเดินหายใจฉุกเฉินทั่วโลก ช่วยลดอุปสรรคด้านทักษะ และทำให้การช่วยชีวิตเข้าถึงได้มากกว่าที่เคย
งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine และได้รับการสนับสนุนบางส่วนจาก National Science Foundation (NSF)
อ้างอิง: interestingengineering